วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สงครามสังคมฯ-29พค55



คลิปรายการย้อนหลัง สงครามสังคมฯ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ตอน..ก่อนจะเห็นทิฏฐิประธานแห่งมรรค ถ่ายทอดสดจากfmtvกรุงเทพฯ-29พค55

บันทึกย่อพ่อครูสอน เรียนอิสระฯ สันติฯ

อั. ๒๙ พ.ค. ๒๕๕๕ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง เริ่ม 18:07 น.



1. พ่อครูบรรยายพฤติปฏิบัติที่จะเป็นโสดาบัน ด้วยทางเอกคือมรรคมีองค์๘ แต่ก่อนที่จะได้พบกับตะวันคือมรรคนี้ จะต้องเห็นแสงอรุณก่อน มี ๗ สภาพคือ ๑.มีมิตรดี ๒.มีศีลสัมปทา (เป็นตัวเริ่มต้นที่ทำให้ถึงพร้อมด้วยวิมุติและวิมุติญาณทัสสนะกันเลยทีเดียว ไม่ใช่ไปสอนว่าศีลได้แค่แค่กายวาจา แต่แท้แล้วจะต้องหมายไปถึงจิต) ๓.มีฉันทสัมปทา ๔.อัตตสัมปทา มีความเข้าใจรู้เห็นอัตตา เวลาปฏิบัติแล้วจะตามเห็นอัตตานุทิฐิ อย่าไปเข้าใจผิดก่อนว่า ทุกอย่างมันเป็นอนัตตา ชนิดที่ว่าเมื่อตนเองรู้ความจบแล้วก็จะจบเลยว่าอัตตาไม่มี เมื่อตนเข้าใจแล้วก็จบเลยสิไม่มีอัตตาอีก ไปเอาตัวจบมาเป็นตัวต้นก็ผิดเลย



2. ก็ความเป็นสัตว์ที่ผูกเอาไว้นั้นแหละคืออัตตา ใครปลดปล่อยสัตว์ออกไปได้แล้วเท่านั้น จึงจะไม่ผูกล่ามสัตว์คืออัตตาเอาไว้ ๕.ทิฏฐิสัมปทา ก็มีรายละเอียดถึงทิฐิ ๑๐ (วันนี้จะได้อธิบายต่อถึงข้อที่ ๕, ๖) .. เข้าถึงความไม่ประมาท ก็คือ รู้ตัวว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลย ยังปฏิบัติตนด้วยศีล ด้วยสังวรอินทรีย์ ด้วยจรณะ๑๕ อยู่ ยังใฝ่ปฏิบัติด้วยโพธิปักขิยธรรมอยู่ ไม่ปล่อยสติให้เป็นสติของปุถุชนคนเสพกิเลส ... ๗.และมีโยนิโสมนสิการ คืออย่างไรกันแน่ ท่านสอนกันแต่ว่าเป็นภาคของความคิด (จินตามยปัญญา) ไม่เคยสอนให้ถึงการปฏิบัติให้เกิดผลขั้น ภาวนามยปัญญา การภาวนานั้นคือการเกิดผลเจริญ ไม่ใช่ไปแปลว่าบ่มภาวนาพึมพำๆ (ด้วย “พุทโธๆๆ” ฯลฯ)
3. การปฏิบัติเป็น ทำใจเป็นนั่นแหละก็คือ “มนสิการ” ที่แสงอรุณของธรรมะจะโผล่ขึ้นมา ... พ่อครูสอนวนซ้ำมาที่ทิฏฐิข้อที่๕ และ๖ คือ “โลกนี้” อันคือโลกที่หลงวนในความสุข เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทางใจ อันเป็นทุกขอาริยสัจ ต้องเห็นทุกข์ด้วยญาณ ไม่ใช่เห็นทุกข์แบบไม่มีจะกิน ไม่มีงานทำ ฯลฯ นั่นมันเป็นทุกข์ธรรมดา ไม่ใช่ทุกขอาริยสัจ ซึ่งพพจ.สอนว่าหากอยากได้อะไรแล้ว ไม่เอามาให้มันได้เสพ นั่นแหละมันจะเกิดทุกข์ทันที อยากเล่นสมใจ อยากเสพให้สมใจ แล้วจงตั้งใจละเว้นไม่ให้มันได้เสพ จึงจะเห็นทุกข์ที่โหยหาความอยากนั้น นี่คือทุกข์จริง ของจริง ที่คนยังวนเวียนหาสุขมาแล้วก็สุขๆ ทุกข์ๆ กันอยู่ สุขอันนี้มันไม่มีทางจบสิ้น



4. ส่วนโลกหน้า หรือการเห็นโลกใหม่ก็คือ การดับเหตุความหลงติด แม้แค่ลองกดข่มดูก็ยังเห็น ยิ่งกำจัดได้ด้วยไฟปัญญาหรือไฟฌาน ก็จะมีฤทธิ์ไปเผาไฟราคะให้ละลายออกจากพลังยึดกุมไว้ของกิเลส พลังปัญญาที่เกิดสภาวะก็จะเป็นไปเพื่อสลายอำนาจของกิเลส ให้เปลื้องปล่อยละวางออกไป ไม่ใช่ไปทำด้วยจิตที่กดข่มอดทนเอาไว้ พ่อครูสอนด้วยวิปัสสนาญาณ ๙ แจกแจงความต่างกันในแต่ละข้อ เช่น มีญาณเห็นภัย เห็นโทษ จึงพอแก่การเบื่อหน่าย ที่พร้อมจะปลดปล่อยมันออกไป แล้วจึงหันกลับมาทบทวนปฏิสังขาร เมื่อเราทวนของเราได้ เราจึงสามารถทนได้กับสังขารของชาวโลกเขา หรือแม้แต่เราเองจะใช้อภิสังขาร คือปรุงแต่งเพื่อผู้อื่นได้ชำระกิเลสออก เราก็ปรุงได้ใช้อภิสังขารเป็น เพราะจิตเรามีอเนญชาภิสังขารแล้ว จึงรู้จักอนุโลมไปเพื่อเขา (อนุโลมิกญาณ) นี้แหละคือโลกหน้า

5. ข้อ๗คือมารดา ๘คือบิดา ก็คือองค์ประกอบในการช่วยทำให้เกิดสัตว์ทางจิตวิญญาณโอปปาติกะของเรานั้น มีผลได้นิพพาน สัตว์ในข้อที่ ๙ นี้ จึงเป็นสัตว์ในระดับ เวไนยสัตว์ ที่สามารถรับคำสอนได้ แม้แต่คำสอนในระดับโลกุตรธรรมก็รับได้ เข้าถึงได้ ฟังได้ จนทำใจเป็น จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้สัตว์ลดลง หากทำไม่ได้ก็ยังเป็นอเวไนยสัตว์อยู่

6. มันก็ต้องค่อยๆได้ ไปทีละขั้นๆ ยกเว้นว่าคุณมีบารมีเก่า มีกิ๊ฟต์ มีทาเร้นจ์ พอเริ่มต้นนิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถก้าวข้ามขั้นพ้าสชั้นเลย พ่อแม่ที่ว่านี้ก็คือสิ่งที่สามารถฟูมฟัก ทำให้จิตวิญญาณเกิดเป็นอุบัติเทพ หรือเป็นวิสุทธิเทพ

ช่วงตอบประเด็น : พระจาริกสอนทำให้หนูสับสนว่า โลภ โกรธ หลง ไม่เป็นกุศล อกุศล หรืออัพยกฤติ ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นกิเลส เป็นเพียงสมองสั่ง ไม่เกี่ยวกับเรา (พ่อครูว่า นี่แหละพวกเซ็นที่น่าสงสาร ที่สื่อว่าท่านบรรลุแล้ว ไม่เอากิเลสมาเป็นกิเลสเลย คือความหลงตัวอันไพบูลย์ พ่อครูสอนว่าพระจาริกท่องเที่ยวเดี่ยวๆไปไม่ได้ จะต้องศึกษาอยู่กับครูบาอาจารย์ จาริกะก็คือผู้จรไป (แต่ผู้เดียว) อันหมายถึงมีความลึกซึ้งมาก คือ ความไม่มีกิเลสเป็นเพื่อน พระสอนนั้น จะต้องทำตนเองให้มีมรรคผลเป็นพหูสูตรลึกซึ้งแท้จริงซะก่อน จึงจะมีสัจจะความจริงไปสอนเขา สมองสั่งเองไม่เป็นหรอก มันเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตวิญญาณที่เป็นผู้สั่งตัวจริง เขาได้ผลแค่ผลของความคิด แต่ไม่ใช่ผลของสัจจะ

พ่อครูสอนความต่างของธรรมะกับธรรมชาติ “การทำงานของธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งดีที่สุดนั้นก็คือพลังงานกับสสารที่สมดุลย์ คล่องตัวมีความฝืดน้อยมากไม่สะดุด สามารถไปได้เรื่อยๆ จึงไม่จบได้ง่ายๆ จึงมีชาติเกิดอยู่ๆๆๆ ไม่ใช่ดับอยู่ ส่วนผู้ที่ตรัสรู้แล้วก็คือผู้ที่รู้จักการเกิดอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้มีสะดุด”

เทวนิยมเขาก็ทำความสืบเนื่องไม่ให้มีการตัดขาด และอีกอันก็ไม่ใช่ไปนึกคิดเอาว่า ไม่มีเหตุกับอะไร เป็นอเหตุกะของนักตักกะ ... การเกิดเรื่อยๆ ไม่ใช่ไปคิดเอาว่าทุกสิ่งมีแต่การดับสูญ ... แต่จะต้องหมายถึงคุณใช้ความสามารถ ทำให้มันดับความต่อเนื่องของการเกิดกิเลส ไม่ให้มันเกิดอีก จึงจะมีสภาพดับสูญ ธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยตรงจึงมีความดับสูญ ไม่ใช่มีการเกิดกิเลสอยู่อย่างนิรันดร์ ธรรมชาติจึงคือการเกิดของโลกีย์ ธรรมะจึงต้องเรียนรู้ธรรมชาติด้วย เพื่อละการเกิดธรรมชาติโลกีย์ ดับภพที่อยู่ของการเกิดโลกีย์ แล้วจึงบรรลุธรรม และไม่ใช่การบรรลุธรรมชาตินะ จึงต้องอธิบายให้ครบทั้งสองส่วน อย่าอธิบายแหว่งๆ ว่า ธรรมะคือธรรมชาติ
ในหลวงทรงชุดหน่วยรบพิเศษ เลือกเอาทุ่งมะขามหย่อง ที่เป็นดินแดนสงครามยุทธหัตถี ส่อประวัติศาสตร์ให้เห็นว่า ขนาดผู้หญิงก็ยังแกล้วกล้าอาจหาญ ชายชาติทหารต้องรู้จักหน้าที่ ศีลเป็นแม่ยังไง ทำไมไม่เอาศีลเป็นพ่อ มีหลักยังไง (แม่กับพ่อก็คือ เหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดจิตคลอดออกมา ศีลเป็นแม่เพราะ ศีลมีสภาพไม่ลึก เยอะลีลามากเรื่อง มีทั้งต้น กลาง ปลาย ส่วนปัญญานั้นแหลมคมลึก มีน้ำหนักใหญ่ยิ่ง แม่จึงเป็นอิตถีภาวะที่หยุมหยิมละเอียดลออมาก ลักษณะพ่อจึงเป็นปุริสสภาวะที่เอาจริง มีน้ำหนัก หมัดเดียวจอดเผด็จศึกได้
พรุ่งนี้ ๓๐ พ.ค. พวกเราคนไทยควรต้องออกไปแสดงเสียง ว่า เราไม่เอา เราประท้วงกันคนละหนึ่งเสียง แล้วรัฐบาลจะรู้จักยอมแพ้ไหม นี่แหละคือประชาธิปไตยที่แสดงพลังเสียง ยิ่งกว่าการไปลงคะแนนเสียงเลือกผู้แทน แต่นี่คุณออกมาเองเลย มาเป็นเสียงสวรรค์ประท้วงแสดงมติว่าไม่เห็นด้วย มาล้านคนรับรอง จบ ! … เมื่อไรจะเข้าใจคำว่าลงคะแนนเสียง ที่ยิ่งกว่าลงบัตรเลือกตั้งภายใน ๔ วินาที

ตายแล้วไม่มีผีวิญญาณ แล้วทำไมจึงมีข่าวได้ยินเสียงกุมารทองล่ะคะ (มันเป็นของหลอก อธิบายก็ยาก เลยได้แต่อ้างว่า คำโกหกมีอยู่จริง แต่การโกหกที่มีอยู่นั้น มันคือความไม่จริง ผีจริงๆ ก็มีอยู่ คือ กิเลสมารในจิต มันจึงเป็นผีอยู่ในจิต ไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้ มันเป็นเสียงของอุปาทาน อย่าว่าแต่เสียงเลย แม้แต่เห็นรูปก็เห็นเป็นตัวเป็นตนได้)

มนุษย์ต่างดาว (พ่อครูรู้ว่าในมหาจักรวาลนี้มันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ แม้ปัจจุบันมันจะมีอยู่แต่พ่อครูก็ไม่ต้องสนใจเอามาเกี่ยวข้อง) พ่อครูไอเสียงแห้ง เพราะมันได้รอบ มาแบบกำหนดไม่ได้
กลอนยักษ์ดี “ถึงจะชั่วก็ชั่วแต่ตัวยักษ์ แต่สุริยวงศ์พงศ์ศักดิ์หาชั่วไม่” ... คนฆ่าตัวตาย มีวิบากกรรมชั่ว บาป อำมหิตมากกว่าฆ่าคนอื่น เพราะเราย่อมรักตัวเรามากกว่ารักคนอื่น การฆ่าคนอื่นได้ก็ต้องใชความอำมหิตขนาดหนึ่ง แต่เราจะฆ่าตนเองก็จะต้องใช้อำมหิตที่มากขึ้น

แสงเป็นวงๆ เขาหาว่าเป็นแสงของเทวดา หรือแสงของพระรัตนตรัย (อโศกอยู่ที่ไหน ก็เป็นกัลยาณมิตรกับที่นั่น คุณมีศีลแล้วจงมาเถอะ พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนเรื่องแสงพวกนี้หรอก) ...

คุณให้รัฐบาลจะไปตั้ง สสร.ขึ้นมา เพื่อจะตราให้ไปล้มล้างรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเพื่อการปรองดอง ลบล้างความผิดที่คุณทำไว้ และล้างความผิดของคนอื่นที่เกิดจากการออกมาต่อต้านคุณ มันก็เหมือนกับพวกที่ไปปฏิวัติเขาได้ ก็มาล้างรัฐธรรมนูญของเขา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น